
มีรายงานจากท่านอุกบะฮฺ อิบนุ อามิรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ่ แจ้งว่า ท่านรอซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :
أسلمَ الناسُ وآمن عَمرو بنُ العاصِ
“ประชาชนทั้งหลายยอมเข้ารับอิสลาม ส่วนอัมรฺ อิบนุลอ๊าศ เป็นผู้ศรัทธาที่มั่นในอิสลาม”
(บันทึกโดย อะฮฺมัด และอัตติรฺมิซีย์)
และอีกรายงานหนึ่งจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :
ابنا العاصِ مُؤمِنان: عَمرٌو وهِشامٌ
“ฮิชามและอัมรฺ บุตรทั้งสองคนของอัลอ๊าศเป็นผู้ศรัทธาที่มั่นในอิสลาม”
(บันทึกโดย อะฮฺมัด ฮากิมและอิบนุอะซากิร)
ท่านพี่น้องมุอฺมินผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ปัจจุบันสังคมมุสลิมกำลังประสบมรสุมหนัก กล่าวคือ มีผู้ที่กำลังลบหลู่เกียรติของบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ของท่ารอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยเฉพาะบรรดารอศ่อฮาบะฮฺที่แต่ก่อนนั้นยังมิได้เข้ารับอิสลามและเคยเป็นศัตรูอิสลามมาก่อนในระยะแรก ๆ เช่น ท่านอบูซุฟยาน ท่านอิกริมะฮฺ ท่านมุอาวียะฮฺ และท่านอัมรฺ อิบนุลอ๊าศ เป็นต้น
ในฐานะที่เราเป็นผู้ศรัทธา เราจะต้องยอมรับและเชื่อฟังคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะรอซูลนั้นมิได้พูดตามอารมณ์แต่คำพูดของท่านนั้นเป็นตัวบท เป็นวะฮีย์ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ประทานมาและเป็นความจริงทุกประการ
ดังที่อัลกุรอานในซูเราะฮฺอันนัจญฺมฺ อายะฮฺที่ 3 และ 4 ที่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงตรัสไว้ว่า :
وَمَا يَنطِقُ عَنِ ٱلْهَوَىٰٓ ٣
إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْىٌۭ يُوحَىٰ ٤
“และเขา (ร่อซูล) นั้น จะไม่เปล่งคำพูดใดๆ ออกมาตามอารมณ์ มัน (คำพูด) ที่เปล่งออกมานั้น หาใช่อื่นใดไม่ ออกจากวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมาให้”
การที่เราไม่ยอมรับหรือไม่เชื่อในถ้อยคำของท่านร่อซูล ก็เท่ากับว่าคำปฏิญาณที่ว่า “อัซฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรฺร่อซูลลุลลอฺฮฺ” นั้น หมดสิ้นไปแล้ว จะเหลือการอีมานอยู่ที่ไหน? จะเหลืออิสลามอยู่ที่ไหน? อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบ อายะฮฺที่ 36 มีความว่า :
وَمَا كَانَ لِمُؤْمِنٍ وَلا مُؤْمِنَةٍ إِذَا قَضَى اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَمْرًا أَن يَكُونَ لَهُمُ الْخِيَرَةُ مِنْ أَمْرِهِمْ
“ไม่เป็นการบังควรสำหรับผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิง ในเมื่ออัลลอฮและร่อซูลของพระองค์ได้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว แล้วพวกเขาจะขอเลือกเอาเองเป็นอย่างอื่น”
สำหรับหะดิษแรกที่ว่า “ประชาชนทั้งหลายยอมเข้ารับอิสลาม ส่วนอัมรฺ อิบนุลอ๊าศ เป็นผู้ศรัทธามั่นในอิสลาม” นั้นแสดงว่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ เป็นพยานยืนยันในการเป็นมุอฺมินของท่านอัมรฺและก็เป็นจริงเช่นนั้น ในเมื่อท่านร่อซูลบอกว่าท่านอัมร์เป็นมุอฺมิน เป็นผู้ศรัทธา แล้วเราจะบอกว่าท่านมิได้เป็นมุสลิม มิได้เป็นมุอฺมินไม่ได้ และเมื่อท่านอัมรฺเป็นมุอฺมินแล้ว แสดงว่าท่านอัมรฺเป็นชาวสวรรค์ เพราะตามหะดิษที่อิมามบุคอรีย์และมุสลิมบันทึกไว้ระบุว่า ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดจะเข้าสวรรค์นอกว่าผู้ที่มีอีมาน” เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาบอกว่าท่านอัมรฺเป็นชาวนรก เป็นกุฟรฺไม่ได้
นี่คือหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะอันดีเด่นของท่านอัมรฺ อิบนุอ๊าศ ที่การอีมานของท่านมิใช่มาภายหลังจาการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แต่ทว่าการอีมานของท่านมีมาแต่เริ่มแรกเมื่อเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งผิดกับคนทั่วๆไป ที่เข้ารับอิสลามแล้วค่อยศึกษาและปฏิบัติจึงเกิดอีมานศรัทธาขึ้น
ส่วนหะดิษหนึ่งที่ว่า “ฮิชามและอัมรฺ บุตรทั้งสองคนของอัลอ๊าศ เป็นผู้ศรัทธ่มั่น” นั้นเป็นการยืนยันจากท่านร่อซูลอีกเช่นกันว่า ทั้งสองท่านเป็นมุอฺมินผุ้ศรัทธา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกล่าวลบหลู่เกียรติหรือใส่ร้ายท่านว่าเป็นคนเช่นนั้นเช่นนี้ หรือเข้ารับอิสลามไม่จริงบ้าง นั้นไม่ได้เป็นอันขาด
ท่านอัมรฺ อิบนุลอ๊าศเป็นใคร?
ท่านเป็นคนในตระกูลบะนีซะฮ์มฺ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในตระกูลกุร็อยซฺในมักกะฮฺ ท่านเป็นอัศวินที่ชาญฉลาด มีไหวพริบเฉียบแหลมมองการณ์ไกล เป็นที่ยกย่องของชาวอาหรับในสมัยนั้น แต่เดิมนั้นท่านเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม ด้วยเหตุนี้ มุสลิมจึงเผชิญอุปสรรคสำคัญที่มีศัตรูอย่างท่านอัมรฺ ที่พยายามจะดับรัศมีของอัลลอฮฺให้จงได้ เพราะทุกครั้งที่มีการวางแผนเพื่อทำลายล้างอิสลาม ท่านอัมรฺผู้นี้จะต้องมีส่วนร่วมอยู่ด้วยทุกครั้ง
ครั้งหนึ่งพวกกุเรซได้คัดเลือกท่านอัมรฺเป็นผู้ไปเจรจากับจักรพรรดิแห่งเอธิโอเปีย เพื่อขับไล่มุสลิมที่อพยพไปเอธิโอเปีย แต่แล้วแผนการของพวกเขาก็ล้มเหลว ในเมื่อแผนการของอัลลอฮฺนั้นเหนือกว่า ในที่สุด ท่านอุมรฺก็ยอมจำนนและยอมประกาศตนเข้ารับอิสลาม โดยกล่าวกับท่าร่อซูลว่า :
“โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ที่ฉันเข้ารับอิสลามนี้ ฉันมีความรู้สึกไม่เหมือนคนอื่นๆ กล่าวคือ ฉันมองเห็นว่าในอดีตฉันเป็นคนเลว ฉันเคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ท่านและบรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่าน ฉันคิดว่าอัลลอฮฺคงจะไม่อภัยให้กับฉัน ดังนั้น ฉันจึงอยากให้ท่านขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺให้กับฉันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตที่ล่วงเลยมาเพื่อฉันจะได้เข้ารับอิสลาม”
ท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า :
“เธอจงอย่าคิดมากและอย่าหมดหวัง พึงรู้เถิดว่า การเข้ารับอิสลามนั้นเป็นการยกเลิกการกระทำความผิดในอดีตจนหมดสิ้น”
ดังนั้นท่านอัมรฺจึงจับมือท่านร่อซูลุลลอฮและประกาศตนเข้ารับอิสลาม
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าท่านอัมรฺเป็นผู้ที่มีความสามารถและเป็นอัศวิน และเมื่อเข้ารับอิสลามท่านก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านร่อซูล ฉะนั้นในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 เมื่อท่านร่อซูลทราบว่ามีอาหรับจากตระกูลกุฎออะฮฺเตรียมจะบุกเข้าปล้นสดมภ์ในนครมะดีนะฮฺ ท่านจึงแต่งตั้งในท่านอัมรฺ อิบนุลอ๊าศเป็นแม่ทัพ จัดการกับพวกดังกล่าว ทั้งๆที่ท่านเพิ่งเข้ารับอิสลามได้เพียง 5 เดือน
**********
ชีวประวัติของท่านอัมรฺนี้ นับเป็นที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเดิมทีนั้นท่านเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม แต่เมื่อท่านเป็นผู้ศรัทธาในอิสลาม ท่านไม่เคยกระทำสิ่งใดอันเป็นการทำลายเกียรติอิสลามเลยแม้แต่น้อย ท่านกลับเป็นผู้ที่ยืนหยัดยึดมั่นในอิสลามอย่างแน่นแฟ้นมั่นคง แต่ในปัจจุบันพวกชีอะฮฺซึ่งเป็นศัตรูอิสลามที่เที่ยวโพนทนาประณามใส่ร้ายสร้างฟิตนะฮฺให้กับท่านด้วยการปล่อยข่าวสร้างความสงสัยในการเป็นอิสลามของท่านและใส่ร้ายท่าน ด้วยเหตุที่ท่านเป็นคนสนิมของท่านมุอาวียะฮฺ ร่อฎิยััลลอฮุอันฮุเท่านั้น
ท่านอัมรฺมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ อับดุลลอฮฺ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในอิสลาม นับเป็นซอและฮฺในบรรดาศ่อฮาบะฮฺ เพราะท่านเป็นผู้ที่ท่องจำหะดิษมากที่สุด จนกระทั่งท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ยอมรับว่า :
“ท่านท่องจำหะดิษดิษและบันทึกหะดิษ แต่ฉันไม่ได้บันทึก แต่เพียงท่องจำอย่างเดียว” และท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุลอัมรฺ อิบนุลอ๊าศผู้นี้มีฉายาว่า “อัซซอดิเกาะฮฺ”(ผู้สัจจริง)
สำหรับท่านฮิชามนั้นเป็นน้องชายของท่านอัมรฺแต่ท่านเข้ารับอิสลามก่อนท่านอัมรฺ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่อพยพไปอบิสซิเนีย ท่านสิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ.15 ในสมรภูมิยัรฺมู๊ก ก่อนท่านอัมรฺ
มีผู้ถามท่านอัมร์ อิบนุลอ๊าศว่า ระหว่างท่านกับน้องชายของท่านนั้นใครดีกว่ากัน? ท่านตอบว่า “ฮิชามดีกว่าฉัน” มีคนถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใด ท่านตอบว่า “เพราะขณะที่เราทั้งสองเข้าสมรภูมิยัรฺมู๊ก ใน ฮ.ศ.ที่15 เราทั้งสองเสนอตัวต่ออัลลอฮฺ ขอให้พระองค์ให้เราเป็นชะฮีดใรสมรภูมิดังกล่าวด้วยเถิด แต่แล้วอัลลอฮฺก็ทรงรับดุอาอฺของน้องชายฉัน โดยให้เขาได้ตายชะฮีดในสมรภูมิดังกล่าวนั่นเอง”
“ขอท่านทั้งหลายจงหวงแหนและรักษาศาสนาอิสลามเอาไว้ให้มั่น ด้วยการศึกษาและปฏิบัติดังเช่นบรรดาศ่อฮาบะฮฺได้รักษาและสืบทอดอิสลามมาให้แก่เราจนทุกวันนี้”
มัสยิดอันซอริซซุนนะฮฺ บางกอกน้อย
ศุกร์ที่ 9/10/35