
ละหมาด ช่วยให้จิตใจนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า
ละหมาด ช่วยให้ผู้ละหมาดได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา
ละหมาด เป็นโล่ห์ป้องกันผู้ละหมาดให้พ้นจากประพฤติ ปฏิบัติความผิดความชั่ว
ละหมาด เป็นเครื่องฟอกจิตใจให้สะอาด ทำจิตใจให้สงบ
ละหมาด เป็นเครื่องเชื่อมความสามัคคี กำจัดความรู้สึกในความเหลื่อมล้ำต่ำสูง
ละหมาด เป็นเครื่องอบรมผู้ละหมาดให้เป็นคนรักษาเวลา ตรงต่อเวลา
ละหมาด เป็นวิญญาณของอิสลาม
ความว่า “แท้จริงเราคืออัลลอฮฺ ไม่มีเจ้าใดๆ ที่ควรแก่การเคารพบูชานอกจากเรา ดังนั้น จงอิบาดะฮฺ(เคารพสักการะ) ต่อเรา และสูเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพื่อรำลึกถึงเรา”
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ แม้จะแข็งแรงหรือยิ่งใหญ่หรือมีทรัพย์สมบัติมากมายสักเพียงไร ในบางครั้งความยิ่งใหญ่หรือกำลังหรือทรัพย์สมบัติที่ตนมีอยู่นั้น ไม่สามารถที่ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนาหรือในคราวตกอยู่ในความทุกข์ ก็ไม่สามารถที่จะปัดเป่าให้ความทุกข์หลุดพ้นไปได้ มนุษย์ทุกคนจำเป็นที่จะหันหน้าเข้าหาสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าอันสามารถที่จะช่วยเหลือและคุ้มครองได้ อันนี้ก็แล้วแต่ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนในอันที่จะเห็นว่าสิ่งใดควรฝากชีวิตไว้ ดังนั้นสิ่งที่มนุษย์เคารพบูชาและกราบไหว้จึงมีมากมายหลายอย่าง
ก่อนที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะมาประกาศสอนศาสนานั้นเป็นยุคที่มนุษยชาติเว้นว่างจากการมีฑูตที่พระผู้เป็นเจ้าได้กรุณาส่งให้มาสั่งสอน มนุษยชาติจึงตกอยู่ในความมืดมน จมอยู่ในความงมงาย ยึดสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นที่พึ่งอย่างไร้เหตุผล
ครั้นเมื่อ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา ได้แต่งตั้งท่านนบีมุฮัมมัดเป็นร่อซูล ให้นำโองการของพระองค์มาทำการแนะนำสั่งสอนแก่ชาวโลก พระเจ้าจึงได้ทรงแจ้งแก่รอซูลของพระองค์ว่า พระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริง ทรงอำนาจอันยิ่งใหญ่และสูงสุดเหนืออำนาจใดๆทั้งสิ้น ทรงช่วยเหลือคุ้มครองบรรดาข้าของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา แล้วก็ได้สั่งร่อซูลของพระองค์อิบาดะฮฺ คือเคารพบูชาต่อพระองค์โดยเฉพาะและตอนท้ายได้สั่งให้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระองค์
จากโองการอายะฮฺนี้เราได้ทราบอย่างชัดเจนว่าผู้ที่ตัดสินใจมุ่งเข้าหาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา ยึดถือพระองค์เป็นพระเจ้าโดยปรารถนาที่จะให้พระองค์ทรงโปรดปราณ ช่วยเหลือคุ้มครองปกปักรักษา จะต้องอิบาดะฮฺ คือกราบไหว้เคารพบูชาต่อพระองค์อย่างจริงใจโดยเฉพาะพร้อมกับต้องปฏิบัติการละหมาดเป็นสื่อที่ช่วยให้ระลึกถึงพระองค์
การละหมาด เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของการเป็นมุสลิมเพราะเป็นวิญญาณของอิสลามเปรียบเสมือนเสาที่ยันอาคารให้ดำรงอยู่ ผู้ที่ได้ตัดสินใจเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงจัง มุ่งหวังความสุขสบายทั้งดุนยาและอาคีเราะห์ จะต้องพากเพียรพยายามปฏิบัติการละหมาดเป็นประจำให้ครบถ้วน ให้ถูกต้องตามแบบอย่างที่ร่อซูลได้สั่งสอนแนะนำไว้ด้วยจิตใจที่นอบน้อม
إِنَّ الصَّلَاةَ كَانَتْ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ كِتَابًا مَّوْقُوتًا
ความว่า “แท้จริงการละหมาดนั้น เป็นบทบัญญัติที่มีกำหนดเวลาเหนือบรรดามุอฺมิน” ซูเราะห์อันนิสาอฺ : 103
ทั้งๆที่การละหมาดเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่กันไปกับชีวิตของการเป็นมุสลิม แต่ก็ยังมีบุคคลบางส่วนที่ไม่ยอมสูญูดกับพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๆ ที่เขาก็ปรารถนาตนเองว่าเป็นมุสลิมและประกอบกิจกรรมบางสิ่งบางอย่างเพื่อสังคมมุสลิม เรื่องที่น่าประหลาดที่สุดก็ได้แก่ สภาพการที่เป็นมาและกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เช่นงานวิวาห์ งานโรงเรียน งานสังสรรค์ งานสังคมต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งงานมัสยิด และงานแสดงศาสนธรรม ผู้จัดงานก็เป็นมุสลิม เวลาเริ่มเปิดงานก็มีพิธีการทางศาสนา มีหมายกำหนดการละหมาดทุกเวลา แต่ครั้นพอถึงเวลาเข้าละหมาด ผู้ที่มาร่วมชุมนุมส่วนมากกลับกลายสภาพเป็นมุสลิมะฮฺมีประจำเดือนไปหมด ละหมาดกลายเป็นเรื่องเล็กไป ไม่มีคนสนใจ
มุสลิมที่เคร่งครัดในเรื่องละหมาด (ซึ่งส่วนมากคนมีอายุมากๆ หรือไม่ก็เป็นคนที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่ดั้งเดิม) กลับกลายเป็นคนคร่ำเครอะ โง่เง่า งมงายไม่ทันสมัยเป็นเพื่อนฝูงหรือมิตรสหายกับคนต่างศาสนาไม่ค่อยสนิทกันนัก เพราะคอยแต่เป็นห่วงเรื่องละหมาด ในชุมนุมใหญ่ ๆ ซึ่งมุสลิมส่วนมากไม่ยอมละหมาด ถ้าจะมีคนที่จิตใจไม่ยอมทิ้งละหมาดขืนไปทำละหมาดเข้าก็จะกลายเป็นตัวตลกไปอย่างน้อยก็จะได้รับการเย้ยหยันหรือหมั่นไส้ในจิตสำนึกของมุสลิมด้วยกันเอง ภาวะการเป็นอยู่ของมุสลิมทุกวันนี้ เข้าทำนองที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องพยายามทำตาให้หลิ่วตามไปด้วย” เมื่อชนกลุ่มใหญ่เขาไม่มีละหมาดกัน มุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยก็ต้องไม่มีการละหมาดตามเขาไปด้วย มันจึงจะเข้ากันได้อย่างกลมกลืนสนิทสนม แล้วอะไรๆอีกหลายอย่างหลายประการซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ที่ชนส่วนใหญ่เขาประพฤติปฏิบัติ กินอยู่ใช้สอยกับได้อย่างไม่มีขอบเขต มันจะค่อยๆเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลงไปที่ละน้อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา คือ กลายเป็นฮาลาลไปในที่สุด บัดนี้มุสลิมดื่มเหล้า มุสลิมทำซินา มุสลิมกินดอกเบี้ย มุสลิมคดโกงตลบตะแลง ฯลฯ ล่อลวง กำลังเพิ่มปริมาณเรื่อยๆ มิใช่หรือ?
นั่นเป็นเพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะมุสลิมเหล่านั้นขาดวิญญาณอิสลามดอกหรือ? ต้นไม้จะทรงตัวอยู่ไม่ได้เมื่อขาดรากแก้ว อาคารจะทรงตัวอยู่ไม่ได้เมื่อขาดเสา อิสลามก็จะคงอยู่ไม่ได้เมื่อขาดการละหมาด
มีคนถาม อัล-มัรฮูม อัชล์ไชค ฮามิด อัล-ฟะกีย์ ว่า “คนที่ถือศีลอด แต่ไม่ละหมาดนั้นจะเป็นอย่างไร” อิบาดะฮฺ ทั้งสองนั้นต่างก็เป็นฟัรดู ที่เป็นอิสระไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ท่านชัยคฺ ฮามิด ได้ตอบว่า การถือศีลอด พร้อมกับการทิ้งละหมาดนั้น ไม่มีประโยชน์อย่างเด็ดขาดและศาสนกิจทุกอย่างที่ได้ปฏิบัติไปพร้อมๆกับการทิ้งละหมาดนั้นจะไม่ได้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อย อิบาดะฮฺทั้งหลายทีได้ถูกประกอบไปพร้อมๆกับการทิ้งละหมาดนั้น จะเป็นอิบาดะฮฺตามแบบฉบับของอิสลามอย่างที่อัลลอฮฺทรงโปรดรับรองไม่ได้ นอกจากอิบาดะฮฺเหล่านั้นเช่น การถือศีลอด ซะกาต ฮัจย์และอื่น ๆ จะได้ถูกปฏิบัติไปพร้อมกับการดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ด้วยการระวังรักษา ปฏิบัติให้ถูกต้องตามแบบฉบับ และให้อยู่ในกำหนดเวลา
แท้จริง ละหมาดเป็นศีรษะของอิสลาม และหลักค้ำจุนอิสลาม ผู้ที่ไม่มีละหมาดเขาก็จะไม่มีส่วนในอิสลามทั้งหมดนี้เป็นไปตามฮาดิษที่มาจากรอซูลุลลอฮฺอย่างแน่นอน
ท่านชัยคฺ ฮามิดได้กล่าวต่อไปว่าคนทิ้งละหมาดเป็นมุชริกตามหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน อายะฮฺที่ว่า :
۞ مُنِيبِينَ إِلَيْهِ وَاتَّقُوهُ وَأَقِيمُوا الصَّلَاةَ وَلَا تَكُونُوا مِنَ الْمُشْرِكِينَ
ความว่า “ในฐานะผู้กลับเข้าหาพระองค์ ด้วยความนอบน้อมและสูเจ้าทั้งหลายจงเกรงกลัวพระองค์และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และสูเจ้าทั้งหลายอย่าอยู่ในพวกมุชริก” ซูเราะห์อัรรูม : 31
มุชริกไม่มีละหมาดแม้เขาจะได้พากเพียรพยายามประกอบกรรมดีอย่างไร ก็ไม่มีส่วนที่จะได้รับการตอบสนองจากพระผู้เป็นเจ้า ดังที่พระองค์ได้บอกไว้ในอัลกุรอานว่า :
ذَٰلِكَ هُدَى اللَّهِ يَهْدِي بِهِ مَن يَشَاءُ مِنْ عِبَادِهِ ۚ وَلَوْ أَشْرَكُوا لَحَبِطَ عَنْهُم مَّا كَانُوا يَعْمَلُونَ
ความว่า : “นั่นคือทางนำของอัลลอฮฺ พระองค์จะนำสู่ทางอันเที่ยงธรรมแก่ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากบรรดาข้าของพระองค์และหากเขาชีริก (นำสิ่งใดๆ ขึ้นเทียบเทียมคู่เคียงกับพระองค์) งานที่เขาประกอบไว้ก็จะเป็นโมฆียะห์กรรมจากพวกเขา” ซูเราะห์อัลอันอาม : 88
ความว่า : “ข่าวจากท่านญาบิรแจ้งว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกว่าแท้จริงระหว่างขิริกและกุฟุรคือการทิ้งละหมาด กล่าวคือ ผู้ที่ละเว้นการละหมาดเป็นมุชริกและกาเฟร”
ความว่า : “ข่าวจากท่านบุร็อยดะฮฺแจ้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านรอซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พูดว่า พันธะระหว่างเรากับพวกเขาคือละหมาด ดังนั้นผู้ใดละเว้นการละหมาด เขาก็ได้กุฟุรแล้ว”
ท่านอับดุลลอฮฺ บิรซะกี๊ด ได้กล่าวว่า : “บรรดาสาวกของมุฮัมมัด ไม่มีใครได้พบว่า พฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเมื่อละทิ้งแล้วจะเป็นกาเฟร นอกจากการละหมาด”
บุตรที่กล่าวว่าเขารักและเคารพบิดาของเขา แต่บิดาจะสั่งสอนและแนะนำอะไรเขาก็ไม่เชื่อฟัง บิดาจะตักเตือน ห้ามปรามอะไรเขาก็ไม่ยอมหยุดยั้ง ลูกอย่างนี้เป็นลูกที่ดื้อทรยศคำกล่าวอ้างว่ารักและเคารพนับถือบิดานั้น เป็นคำกล่าวอ้างแต่ปากไม่ได้มาจากจิตใจแต่อย่างใด
ฉันใดผู้ที่กล่าวอ้างหรือแสดงตัวเป็นมุสลิม ประกอบกิจการบางอย่างเพื่ออิสลาม หรือในนามของอิสลามก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาได้ยอมเข้ารับถืออิสลามเป็นศาสนาประจำชีวิต ด้วยการยอมรับนับถือว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา เป็นพระเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุด แต่ครั้นเมื่ออัลลอฮฺใช้ให้เขาสุญูดต่อพระองค์ เขากลับเห็นว่าการสุญูดต่อพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องโง่เง่างมงายและเป็นเรื่องอับอายขายหน้า มุสลิมอย่างนี้เรียกได้ว่าเป็น “มุสลิมเปลือก” ซึ่งมีส่วนเลวร้ายยิ่งกว่าอิบลิส เพราะอิบลิสนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลาใช้ให้สุญุดกับท่านอาดัม มันไม่ยอมสุญุดโดยอ้างว่า อาดัมมีต้นกำเนิดต่ำกว่ามัน อาดัมเกิดมาจากดิน ส่วนมันเกิดมาจากไฟ มันจึงถูกกริ้วแล้วไล่ออกจากสวรรค์ แต่นี้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา ใช้ให้มนุษย์ซึ่งเป็นข้าของพระองค์ สุญุดต่อพระองค์ไม่ได้ให้สุญุดต่อมนุษย์ด้วยกันหรือสิ่งอื่น ๆ เขายังดื้อรั้นไม่ยอมสุญุด มนุษย์ชนิดนี้จะไม่เลวร้ายยิ่งกว่าอิบลิสอีกหรือ?
ท่านพี่น้องที่เคารพคงเคยได้ยินมุสลิมที่ไม่ยอมสุญุดต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา และกล่าวอ้างเหตุผลที่เขาไม่ยอมละหมาดว่า “การละหมาดไม่สามารถที่จะทำให้มนุษย์เป็นคนดีได้ เท่าที่ได้พบเห็นมาคนที่ละหมาดเป็นประจำ ยิ่งเป็นผู้ที่มีสันดานเลวทรามต่ำช้ามีโกงกิน ล่อลวง ตลบตะแลง ทะเลาะวิวาทกัน ทำลายกัน หักโค่นกัน โลภอิจฉาริษยา เย่อหยิ่งจองหอง เข้าใจว่าทางที่จะทำให้ตัวของเราเป็นคนดีได้นั้น เพียงแต่ทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ละทิ้งอคติอันชั่วร้ายเหล่านั้นเสียก็เป็นคนดีได้”
นั่นเขาได้พบแต่คนที่ละหมาดแต่เปลือกนอกแต่จิตใจของเขามิได้ละหมาดด้วย แท้จริงการละหมาดเป็นกำแพงที่จะป้องกันบรรดาความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผู้ละหมาดทำด้วยความรู้เรื่องของละหมาด รู้จักความมุ่งหมายของการละหมาดได้อย่างแจ่มแจ้ง เขาปฏิบัติการละหมาดไปพร้อมกับจิตสำนึกว่าเขาได้เข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรู้ ผู้ทรงเห็นทรงได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งความรู้สึกนึกคิดของเขา วันหนึ่งๆเขาจะต้องการละหมาดถึงห้าครั้ง ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ห่างไกลกันนัก เป็นกิจวัตรประจำชีวิต แล้วเขาจะกล้าประกอบกรรมทำชั่วได้อย่างไร เหมือนดั่งผู้ร้ายที่ถูดตำรวจคุมตัวอยู่เสมอไม่ย่อมไม่มีทางที่จะหลบหนีไปประกอบความผิดได้ ผู้ที่ละหมาดจริงๆนั้น การละหมาดของเขาเป็นผู้ควบคุมจิตใจของเขาเอง
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตาอะลา ได้ทรงสัญญาไว้ว่า :
إِنَّ الصَّلَاةَ تَنْهَىٰ عَنِ الْفَحْشَاءِ وَالْمُنكَرِ ۗ
ความว่า “แท้จริงการละหมาดนั้น จะช่วยให้พ้นจากบรรดาสิ่งชั่ว และสิ่งที่น่ารังเกียจ” ซูเราะห์อัลอันกะบูต : 45
ตอนนี้จึงมาถึงปัญหาที่ว่า คนที่ไม่ยอมละหมาดเลยกับผู้ที่ละหมาดแต่รูปนอกใครจะดีกว่ากัน จึงขอตอบว่าคนที่ไม่ยอมสุญูดต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ทั้งอัลกุรอานกับหะดิษได้ตัดสินว่าเป็นทั้งมุชริกและกาเฟร ส่วนผู้ที่ละหมาดแต่รูปนอกนั้น การละหมาดของเขามิได้ช่วยให้เขาพ้นจากการประกอบกรรมทำชั่วแต่ไม่มีหลักฐานบ่งว่าเขาเป็นกาเฟรหรือมุชริก
การงานทุกอย่างเมื่อเราปรารถนาผลเลิศแล้ว เราจักต้องพยายามประกอบให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงกระทำได้ ถ้าทำอย่างเสียไม่ได้หรือทำด้วยการเกียจคร้านทำพอให้ผ่านพ้นไป ก็อาจจะไม่ได้รับผลหรืออาจจะขาดทุนเอาก็ได้
ศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจไม่มีใครที่จะบังคับใครได้ เราจะถือศาสนาอะไรก็ได้หรือไม่ถือเสียเลยก็ได้ แต่เมื่อถือแล้วก็ต้องถือกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสลามเป็นศาสนาที่มีระเบียบวินัยอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด เป็นกฎหมายที่คอยควบคุมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีเสมอ ทั้งนี้ต้องถือและประพฤติปฏิบัติอย่างจริง ๆ ถืออย่างเคร่งครัด ถือด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ถือทั้งภายนอกและจิตใจ ถ้าถือกันอย่างเล่นๆหรือถือเพื่อการโอ้อวด แทนที่จะได้กำไรกลับต้องขาดทุนอย่างไม่มีปัญหา
เรื่องของอิสลามทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสิ่งอันเป็นรากฐานอย่างเดียวคือการละหมาด เพราะท่านร่อซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกไว้ว่า :
“สิ่งแรกที่มนุษย์จะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ คือการละหมาด ถ้าละหมาดดีงานอื่นๆก็พลอยดีไปด้วย ละหมาดเสียงานอย่างอื่นก็พลอยเสียไปด้วย”
การละหมาดที่ดี คือ การละหมาดที่ได้ปฏิบัติไปอย่างถูกต้องครบถ้วนตามแบบฉบับที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ได้แนะนำสั่งสอนไว้แม้การละหมาดที่ไม่ถูกต้องยังช่วยอะไรไม่ได้ ก็เมื่อไม่ละหมาดเสียเลยจะเป็นอย่างไร
อันใดที่ทำให้มุสลิมสมัยนี้ไม่ชอบการละหมาดหรือเกียจคร้านไม่อยากละหมาด เรามาช่วยกันคิดหาสาเหตุให้ได้ แล้วคิดอ่านช่วยกันแก้ไขเสีย เพื่อดำรงไว้ซึ่งวิญญาณอิสลามในสังคมมุสลิมในอนาคต
มัสยิดอันซอริซซุนนะฮฺ
15/1/36