ทะเลแห่งความเมตตา

ท่านพี่น้องมุอฺมิน ที่ศรัทธาพึงทราบ

            อันว่าชีวิตคนเรา หรือธรรมชาติของคนเรานั้นหากว่าไม่มีการสะกิดแกะแนะนำหรือตักเตือนอะไรกันบ้าง ชีวิตนั้นก็มักจะโลดแล่นไปตามกระแสของอารมณ์ เกาะกลุ่มกันอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่แสนจะสับสน แข่งขันกันด้วยเรื่องของปัจจัยและอำนาจ ไม่มีเวลาที่จะคำนึงถึงสภาพของตัวเอง ไม่มีเวลาที่จะสังเกตธรรมชาติและสภาพสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวทั้งใกล้ไกล ซึ่งสภาพของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ได้ซ่อนข้อคิดและความมหัศจรรย์ไว้เป็นเป็นปรัชญา

            ดังนั้นจึงเห็นว่าควรจะได้มีการสะกิดให้คิดกันสักครั้งหนึ่งในโอกาสอันหาได้ยากอย่างในขณะนี้ อย่างน้อยๆก็จะทำให้อารมณ์ที่ฟูฟ่าเพ้อเจ้อไปตามลมตามแล้งด้วยแรงกิเลสได้มีความสงบขึ้น มีสติปลอดภัยจากความสับสนทั้งหลาย

            เราเป็นมุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ศรัทธาในความเกรียงไกรและศรัทธาในการสร้างสรรค์ของพระองค์ ณ บัดนี้ ขอให้เราได้สลัดความฟุ้งซ่านออกไปปรับใจให้อยู่ในสมาธิ แล้วทบทวนความเป็นมาของตัวเอง มองสิ่งต่างๆรอบตัวเราด้วยความใคร่ครวญพิจารณาเพื่อชดเชยกับความนึกคิดของเราที่ได้ผ่านเลยไปเลยมา ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายของสังคมแวดล้อมตลอดเวลาที่ผ่านมา และท่ามกลางความดิ้นรนในการครองชีพชนิดปากกัดตีนถีบจนไม่มีเวลาจะมาคิดว่า “เราเกิดมาอย่างไร และมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

            ขอให้เราพิจารณาบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่ได้เห็นจำเจอยู่ทุกวันโดยเริ่มต้นที่ตัวของเราก่อน แล้วก็มายังสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา เช่น เครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน พืชหญ้า และไม้ยืนต้น สรรพสัตว์ทั้งหลาย พื้นแผ่นดินที่แผ่ปูลาดไปสุดหูสุดตา และความไพศาลของอาณาจักรท้องฟ้าที่ไม่มีขอบเขต

            เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันออกแล้วตกไปทางทิศตะวันตกทุกวันๆ หากว่าความคิดของเราไม่สับสนจนเกินไป อาจจะมีสักช่วงขณะหนึ่งที่เราจะฉุกคิดขึ้นมาถึงการทำงานของดวงอาทิตย์หรือหน้าที่ของมัน มันเริ่มขึ้นจากทางหนึ่งแล้วไปตกอีกทางหนึ่ง เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ก่อนที่เราจะเกิดมาไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลังจากที่เราตายไปแล้วไม่รู้ว่าอีกกี่พันกี่หมื่นปี มันทำงานของมันสม่ำเสมอตลอดมา ไม่เคยปรากฏว่ามันผิดหน้าที่ของมันเลย ปรากฏการณ์เหล่านี้ หากว่าเราได้ขจัดกิเลสที่แฝงอยู่ในปัญญาออกไป เอาเฉพาะปัญญาที่บริสุทธิ์มาคิดพิจารณากันว่าทำไมดวงอาทิตย์จึงทำงานอย่างนั้น ไม่เคยบกพร่องเลย ทำให้มีกลางวันให้เราได้ทำงาน ให้มีกลางคืนให้เราได้พักผ่อน มีหนาวมีร้อนสลับกันไป เราคิดว่าดวงอาทิตย์ทำงานตามความพอใจของมันเองอย่างนั้นหรือ? เราคิดว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของใครอย่างนั้นหรือ? เราคิดว่าดวงอาทิตย์มีอิสระในตัวของมันเองอย่างนั้นหรือ? ระยะเวลาเป็นหมื่นๆปีที่มันทำงานของมันอย่างสม่ำเสมอไม่เคยคลาดเคลื่อนและไม่ผิดพลาด ดวงอาทิตย์ไม่เคยเดินถอยหลัง ไม่เคยเปลี่ยนทิศทาง ปรากฏการณ์เหล่านี้หากว่าปัญญาของเราบริสุทธิ์ สมองของเราเป็นอิสระปราศจากสิ่งลวงตาทั้งหลาย เราจะยอมรับทันทีว่าดวงอาทิตย์นั้นมันไม่ได้มีอิสระในตัวขงมันเองเลย มันไม่ได้มีอำนาจในตัวของมันเอง มันทำงานภายใต้การบงการของสิ่งหนึ่งที่มีอำนาจเหนือมัน โดยที่มันถูกกำหนดให้ต้องทำอย่างนั้น ให้มีหน้าที่อย่างนั้นแล้วใครเล่าที่มีอำนาจเหนือดวงอาทิตย์?

            ในอัล-กุรอานบอกว่า อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เป็นผู้สร้างทุก ๆ สิ่งบนแผ่นดิน ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 29 ได้กล่าวไว้ว่า :

هُوَ الَّذِي خَلَقَ لَكُم مَّا فِي الْأَرْضِ جَمِيعًا

“พระองค์คือผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนพื้นพิภพทั้งหมด”

            สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้นพระองค์บันดาลให้มีขึ้นมา เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง เราลองคิดดูซิว่า มีอะไรบ้างในโลกนี้ที่ไม่มีประโยชน์แก่มนุษย์ นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดิน น้ำ ลม ไฟ พืชต้นไม้และสัตว์ทุกชนิด ล้วนแต่มีประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งสิ้น บางอย่างมีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีพเรา เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค บางอย่างก็เป็นประโยชน์แก่เราโดยทางอ้อม เช่น สิ่งหนึ่งอาจมีความจำเป็นสำหรับอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นมีความจำเป็นสำหรับเรา เราอาจจะคิดว่าบรรดาต้นไม้ พืชหญ้าต่างๆที่ขึ้นรกรุงรังในไร่สวนของเรานั้นไม่มีระโยชน์อะไรสำหรับเราเลย กินก็ไมได รกรุงรัง แย่งอาหารพืชไร่ที่ปลูก ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่เราอย่าลืมว่า ต้นหญ้าเหล่านั้นคืออาหารของสัตว์เลี้ยงของเรา ซึ่งบรรดาสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็คือแรงงานและอาหารของเรา และบางครั้งในบรรดาพืชหญ้าเหล่านั้นยังมีสรรพคุณที่เป็นคุณค่าในทางสมุนไพร รักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย

            ในอัล-กุรอานอีกอายะฮฺจากซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 185 ได้กล่าวไว้ว่า :

أَوَلَمْ يَنظُرُواْ فِي مَلَكُوتِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَمَا خَلَقَ اللَّهُ مِن شَيْءٍ

“เขาทั้งหลายมิได้พิจารณาถึงอาณาเขตแห่งท้องฟ้าและพิภพ และบรรดาสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทรงสร้างมันขึ้นมาหรอกหรือ?”

            นี่เป็นความหมายอีกประโยคหนึ่งของอัล-กุรอานที่พระองค์ทรงท้าทาย เรียกร้องให้มนุษย์พิจารณาสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมันขึ้นมารอบตัวของเรา ห้วงเวหาที่ไม่มีขอบเขต พื้นแผ่นดินที่เรียบกว้างไพศาล ท้องทะเลที่สุดหูสุดตา มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? จากอากาศบริสุทธิ์ที่เราหายใจเข้าไปอีก มันเป็นไปได้อย่างไร? จากน้ำที่บริสุทธิ์สะอาดที่เราใช้กิน ใช้ดื่ม ใช้อาบ ใช้ซักล้าง จนกลายเป็นน้ำที่สกปรก แล้วก็กลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นน้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์มาให้เราใช้ดื่มซักล้างกันอีก มันเป็นไปได้อย่างไร? จากอาหารที่เรากินเข้าไปบำรุงร่างกายแล้วก็ถูกขับถ่ายออกมา กลายเป็นอาหารของสัตว์และเป็นปุ๋ยอาหารของพืชต้นไม้ที่ดูดเข้าไป แล้วก็ออกดอกออกผลเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยให้เราได้กินเข้าไปอีก มันเป็นไปได้อย่างไร? ในการมีของสิ่งเหล่านี้ ในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ ในการวิวัฒนาการของสิ่งเหล่านี้ หากว่าปัญญาของเราไม่บอด ความคิดของเราไม่สับสน เราจะยอมรับในการสร้างที่มีการหมุนเวียนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ว่าเป็นระบบการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ประหลาดและอัศจรรย์ที่สุด

            ในอัล-กุรอานอีกตอนหนึ่ง ซูเราะฮฺอัลมุลกฺ อายะฮฺที่ 23 กล่าวไว้มีความว่า :

قُلْ هُوَ الَّذِي أَنشَأَكُمْ وَجَعَلَ لَكُمُ السَّمْعَ وَالأَبْصَارَ وَالأَفْئِدَةَ قَلِيلا مَّا تَشْكُرُونَ

            “จงบอกให้เขารู้เถิดว่า พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกท่าน สร้างการเห็นการได้ยินและสร้างการรู้จักคิดพิจารณาไว้ให้พวกท่านเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สำนึกคุณ”

            เราได้ความรู้จากอัล-กุรอาน อายะฮฺนี้ว่า พระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) เป็นผู้ทรงสร้างพวกเราให้มีขึ้น ให้เรามีตาที่มองเห็น มีหูที่ฟังได้ยิน ให้เรามีหัวใจที่รู้จักคิด ให้เรามีอวัยวะต่างๆ ทีจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา ซึ่งบรรดาสิ่งต่างๆเหล่านี้ยังไม่เคยปรากฏว่ามีมนุษย์คนไหนจะหยิบยื่นให้เราได้ ยังไม่เคยปรากฏว่ามีมนุษย์วิเศษคนสร้างมันขึ้นมาได้เหมือนของที่ได้มาจากอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีมนุษย์ส่วนมากที่มองข้ามเลยไป มีอยู่เป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่สำนึกคุณ

            ในอัล-กุรอาน ซูเราะฮฺอะบะซะ อายะฮฺที่ 24-32 กล่าวไว้มีความว่า :

“มนุษย์ทั้งหลาย จงพิจารณาดูอาหารของเรา”فَلْيَنظُرِ الإِنسَانُ إِلَى طَعَامِهِ
“เราได้หลั่งน้ำลงมาอย่างหนัก”أَنَّا صَبَبْنَا الْمَاء صَبًّا
“แล้วเราได้แยกแผ่นดินออกให้ร่วนซุย”ثُمَّ شَقَقْنَا الأَرْضَ شَقًّا
“และเราได้ให้เมล็ดพืชงอกเงยขึ้นจากในแผ่นดิน”فَأَنبَتْنَا فِيهَا حَبًّا
“และองุ่นและพืชผัก”وَعِنَبًا وَقَضْبًا
“และมะกอกและอินทผลัม”وَزَيْتُونًا وَنَخْلا
“และบรรดาเรือกสวนอันหนาทึบ”وَحَدَائِقَ غُلْبًا
“ผลไม้และต้นหญ้า”وَفَاكِهَةً وَأَبًّا
ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับพวกท่านและสัตว์เลี้ยงของพวกท่าน”مَّتَاعًا لَّكُمْ وَلِأَنْعَامِكُمْ

            ข้อความเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ในอัล-กุรอานโดยพระองค์ได้ทรงใช้ให้เราพิจารณาดูอาหารของเราว่าได้มาอย่างไร พระองค์ทรงให้ฝนตกลงมาแยกแผ่นดินให้ร่วนซุย แล้วเมล็ดต่าง ๆ ก็งอกขึ้นมาจากดิน มีทั้งพืชผักผลไม้และต้นหญ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บางอย่างเพื่อประโยชน์สุขของเราโดยตรง และบางอย่างก็เพื่อสัตว์เลี้ยงของเรา

                  บรรดาสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ได้ทรงสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นปัจจัยยังชีพของเรา เพื่อความสุขของเราและเพื่อความสะดวกสบายของเรานั้นมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถจะรู้และคำนวณนับได้ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางทิศใด เราก็จะพบแต่สิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์ทั้งสิ้น บางอย่างเพื่อประโยชน์สุขของเราโดยตรง บางอย่างมีความจำเป็นต่อชีวิตเราโดยตรง และบางอย่างมีความจำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราโดยทางอ้อม เช่นมีความจำเป็นต่อสิ่งหนึ่ง แล้วสิ่งนั้นมีความจำเป็นต่อชีวิตของเรา อย่างเช่นที่อัล-กุรอานได้กล่าวถึงการสร้างให้มีขึ้น ซึ่งบรรดาผลไม้ และพืชหญ้าซึ่งมีประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงของมนุษย์เอง

            ภายใต้การสร้างสรรค์อันรอบคอบและมีระเบียบของพระองค์ ภายใต้การสร้างอันมหัศจรรย์พิสดารของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ กรุณาธิคุณของอัลลอฮฺที่มีต่อบ่าวของพระองค์เหลือที่จะคำนวณนับ ไม่มีขอบเขตที่จะประมาณได้ล้นฟ้าท่วมแผ่นดินดังในอัล-กุรอาน ซูเราะฮฺอันนะฮฺลฺ อายะฮฺที่18 ได้กล่าวไว้มีความว่า :

وَإِن تَعُدُّواْ نِعْمَةَ اللَّهِ لاَ تُحْصُوهَا إِنَّ اللَّهَ لَغَفُورٌ رَّحِيمٌ

            “หากพวกท่านทั้งหลายคิดจะคำนวณความเมตตาของพระองค์ พวกเจ้าก็ไม่สามารถจะคำนวณมันได้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาอย่างแน่นอน”

จากส่วนน้อยของอายะฮฺอัล-กุรอานและตัวอย่างที่ได้นำมากล่าวในที่นี้หากกว่าปัญญาของเราไม่ได้ถูกครอบงำด้วยความสับสนของสิ่งแวดล้อม เราจะเห็นว่าตัวเรานั้นไม่มีอะไรเลย ต้องอาศัยพระองค์ทุกอย่าง ความกรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อบ่าวของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาลหาขอบเขตมิได้ สมจริงตามอายะฮฺของอัล-กุรอานที่ได้นำมา แล้วอย่างนี้เรามีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระองค์ได้อย่างไรบ้าง เราได้แสดงออกซึ่งความสำนึกนี้และได้กตัญญูต่อพระองค์อย่างไรบ้าง

            ในอัล-กุรอานซูเราะฮฺอันนัมลฺ อายะฮฺที่ 73 ได้กล่าวไว้มีความว่า :

وَإِنَّ رَبَّكَ لَذُو فَضْلٍ عَلَى ٱلنَّاسِ وَلَـٰكِنَّ أَكْثَرَهُمْ لَا يَشْكُرُونَ

“แท้จริงอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) นั้นเป็นผู้ที่มีความเมตตาต่อมนุษย์อย่างจริงจัง แต่ว่าเขาส่วนมากไม่สำนึกบุญคุณ (เนรคุณ)”

            ท่านผู้เป็นบ่าวแห่งอัลลอฮฺ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทุกท่าน ในโอกาสที่นานทีจะมีสักครั้งหนึ่ง ขอให้เราทั้งหลายได้ตื่นขึ้นทุกคน ตื่นมาสำรวจความเมตตาปรานีของพระองค์ที่มีต่อเรา ตื่นขึ้นมารับรู้การสร้างสรรค์ของพระองค์ ตื่นขึ้นมาชื่นชมกับเนียะมัตของพระองค์ ตื่นขึ้นมาด้วยความสำนึกในกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระองค์ ตื่นขึ้นมาสู่อรุณของวันใหม่ที่มีแต่การชุกุ๊ร-กตัญญู ขอให้ความสำนึกในบุญคุณของพระองค์ได้แผ่ซ่านซึมแนบแน่นอยู่ในความรู้สึกของเราทุกคน จงระลึกฝังอย่างใจอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ลูกๆของเรา ภรรยาของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ตัวของเรา เลือดเนื้อของเรา และความเป็นความตายของเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ทั้งหมด

            จงจุดไฟแห่งความศรัทธาขึ้นในจิตใจของเรา ให้มันลุกโพลงโชติช่วงด้วยแรงจงรักภักดีมอบถวายต่อพระองค์ ลิ้ลลาฮิร้อบบิ้ลอาละมีน

คุฏบะห์วันศุกร์ ฮ.ศ. 1414

มัสยิด(หลวง)อันซอริซซุนนะห์ บางกอกน้อย

จัดทำโดย เยาวชน มุสลิมบางกอกน้อย

Message us