ถาม-ตอบ สิ่งที่มุสลิมต้องรู้ (ตอนที่ 1)

คำถามที่ 1

  • หน้าที่เบื้องต้นของมุสลิมคือ การศึกษา  เพราะนบีมุฮัมมัด ﷺ กล่าวว่า :

طَلَبُ الْعِلْمِ فَرِيضَةٌ عَلَى كُلِّ مُسْلِمٍ

นำเสนอโดย อิบนุมาญะฮ์


คำถามที่ 2

  • ใช่ ความรู้จะต้องมาก่อนการปฏิบัติ  เพราะอัลลอฮ์ ﷻ ตรัสว่า :

فَٱعْلَمْ أَنَّهُۥ لَآ إِلَٰهَ إِلَّا ٱللَّهُ وَٱسْتَغْفِرْ لِذَنۢبِكَ وَلِلْمُؤْمِنِينَ وَٱلْمُؤْمِنَٰتِ

ซูเราะห์ มุฮัมมัด อายะห์ที่ 19


คำถามที่ 3

  • หลักศาสนาอิสลามได้มาจากสิ่ง ๒ ประการคือ  คัมภีร์อัล กุรอาน  และซุนนะฮ์  ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า :

إِنِّي قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ شَيْئَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا بَعْدَهُمَا : كِتَابَ اللَّهِ وَسُنَّتِي

บันทึกโดย อิมามมาลิกและอัล ฮากิม จากอบีฮุรอยเราะฮ์


คำถามที่ 4

  • หลักศาสนาอิสลามมี ๓ ระดับคือ  ระดับที่ ๑ อิสลาม   ระดับที่ ๒ อีมาน   ระดับที่ ๓ อิห์ซาน

คำถามที่ 5

  • หลักศาสนาอิสลามทั้ง ๓ ระดับได้มาจากหะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ซึ่งท่านอุมัร อิบนุลคอฏฏอบ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้รายงาน โดยที่ท่านญิบรีลจำแลงกายในรูปร่างของมนุษย์ได้มาหาท่านนบีแล้วถามท่านว่า “อิสลามคืออะไร ?  อีมานคืออะไร ?  อิห์ซานคืออะไร ?”  ท่านนบี ﷺ ก็ได้ตอบ  เมื่อท่านญิบรีลจากไปท่านนบี ﷺ จึงถามบรรดาศ่อฮาฮาบะฮ์ว่า :  “ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า ชายผู้นั้นคือใคร ?”  บรรดาศ่อฮาบะฮ์กล่าวว่า : “อัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์รู้ยิ่ง”  ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า : “เขาคือ ญิบรีล มาเพื่อสอนศาสนาแก่พวกท่าน”

คำถามที่ 6

อิสลามคือ  การจงรักภักดีและการยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลลอฮ์ ﷻ องคเดียวด้วยการปฏิบัติตามหลักอิสลาม ๕ ประการคือ :

  • ก – การกล่าวปฏิญาณว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มุฮัมมัดร่อซูลุลลอฮ์ – ไม่มีพระเจ้าใดนอกจากอัลลอฮ์  มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮ์”
  •  ข – การดำรงละหมาดฟัรดู ๕ เวลา
  • ค – การจ่ายซะกาต
  •  ง – การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
  •  จ – การประกอบพิธีฮัจญ์ สำหรับผู้ที่มีความสามารถ

ท่านนบี ﷺ ได้ตอบต่อญิบรีล เมื่อถามถึงอัล อิสลาม ท่านกล่าวว่า :

الإِسْلَامُ أَنْ تَشْهَدَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَتُقِيمَ الصَّلَاةَ، وَتُؤْتِيَ الزَّكَاةَ، وَتَصُومَ رَمَضَانَ، وَتَحُجَّ الْبَيْتَ إِنِ اسْتَطَعْتَ إِلَيْهِ سَبِيلًا


คำถามที่ 7

อีมานคือ การศรัทธามั่นภายในหัวใจ  กล่าวยืนยันด้วยลิ้น  และแสดงออกด้วยการปฏิบัติ  มีทั้งหมด ๖ ประการ คือ :

  • ก  –  การศรัทธาว่า อัลลอฮ์องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง
  • ข –  การศรัทธาต่อบรรดามะลาอิกะฮ์ของพระองค์
  • ค – การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์
  • ง –  การศรัทธาต่อบรรดาร่อซูลของพระองค์
  • จ – การศรัทธาต่อวันอาคีเราะฮ์
  • ฉ – การศรัทธาต่อการกำหนดสภาวะ (กอฎออ์ กอดัร)

 เมื่อญิบรีลถามท่านนบี ﷺ ว่า อีมานคืออะไร ? ท่านกล่าวว่า :

أَنْ تُؤْمِنَ بِاللهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَالْيوْمِ الآخِرِ، وَتُؤْمِنَ بِالْقَدَرِ خَيْرِهِ وَشَرِّهِ

อีมานมีเพิ่มมีลด  อีมานจะเพิ่มขึ้นด้วยการภักดีปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์ ﷻ และร่อซูล ﷺ  จะลดลงด้วยการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ﷻ และฝ่าฝืนคำสั่งของร่อซูล ﷺ   ขณะเดียวกันการกระทำต่างเกี่ยวข้องกับการศรัทธา  ดังที่ท่านร่อซูล ﷻ กล่าวว่า :

الْإِيمَانُ بِضْعٌ وَسَبْعُونَ – أَوْ بِضْعٌ وَسِتُّونَ – شُعْبَةً , فَأَفْضَلُهَا قَوْلُ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ , وَأَدْنَاهَا إِمَاطَةُ الْأَذَى عَنْ الطَّرِيقِ , وَالْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنْ الْإِيمَانِ

หะดีษมุตตะฟัก อลัยฮ์  จากอบี ฮุรอยเราะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ

ท่านสามารถสังเกตระดับการอีมานในตัวของท่านเองได้  ถ้าหากว่า ท่านมีความรู้สึกว่า มีความอยาก มีความมุ่งมั่น รู้สึกมีชีวิตชีวาในการทำความดี ปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮ์ แสดงว่า อีมานของท่านเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าหากว่า ท่านมีความรู้สึกเฉื่อยชา เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ในการทำความดี แสดงว่า อีมานของท่านลดลง   ด้วยความสำคัญของการทำความดี  อัลลอฮ์ตรัสว่า :

وَأَقِمِ ٱلصَّلَوٰةَ طَرَفَىِ ٱلنَّهَارِ وَزُلَفًا مِّنَ ٱلَّيْلِ ۚ إِنَّ ٱلْحَسَنَٰتِ يُذْهِبْنَ ٱلسَّيِّـَٔاتِ ۚ ذَٰلِكَ ذِكْرَىٰ لِلذَّٰكِرِينَ                 

ซูเราะห์ฮูด / อายะห์ที่ : ๑๔๔


คำถามที่ 8

มุสลิมยึดหลักอะกีดะฮ์จากคัมภีร์อัล กุรอานและจากซุนนะฮ์ที่ถูกต้อง  พระองค์อัลลอฮ์ ﷻ ตรัสว่า :

وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى * إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى

ซูเราะห์อันนัจม์ / อายะห์ที่ : ๓-๔

ซึ่งเป็นหลักอะกีดะฮ์ที่บรรดาศ่อฮาบะฮ์ และชาวสลัฟซอและห์ (ชนรุ่นก่อนที่ดี) ยึดถือปฏิบัติ


คำถามที่ 9

       อิห์ซาน คือ การตระหนักว่าอัลลอฮ์ทรงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจและทรงเห็นการปฏิบัติอิบาดะฮ์ของบรรดาปวงบ่าวและการกระทำของพวกเขาในทุกอิริยาบท  ทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น  ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

الَّذِي يَرَاكَ حِينَ تَقُومُ ۝ وَتَقَلُّبَكَ فِي السَّاجِدِينَ

ซูเราะห์อัชชุอะรออ์ / อายะห์ที่ : ๒๑๘ – ๒๑๙

         พระองค์ตรัสว่า :

وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَ مَا كُنْتُمْ

ซูเราะห์อัลหะดีด / อายะห์ที่ : ๔

ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวถึงอัล อิห์ซาน ว่า :

أنْ تَعْبُدَ اللهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ، فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ

บันทึกโดย มุสลิม

หลักอิห์ซานอยู่ในระดับสูงสุด เพราะบุคคลมีความตระหนักมั่นอยู่กับอัลลอฮ์ในทุกอิริยาบท ทั้งในภาวะที่เขามีความศรัทธาและเมื่อเขาปฏิบัติ ซึ่งอิห์ซานจะทำหน้าที่กำกับ 


คำถามที่ 10

       ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ หมายถึง การปฏิเสธที่จะเชื่อมั่นว่ามีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮ์  และปฏิเสธที่จะเคารพภักดีต่อมันเหล่านั้นอื่นจากอัลลอฮ์  โดยเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า อัลลอฮ์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวที่ได้รับการเคารพภักดี


คำถามที่ 11

นบีมุฮัมมัด ﷺ กล่าวว่า :

افترقت اليهود على إحدى وسبعين فرقة، وافترقت النصارى على اثنتين وسبعين فرقة، وستفترق هذه الأمة على ثلاث وسبعين فرقة كلها في النار إلا واحدة، قيل: من هي يا رسول الله؟ قال: من كان على مثل ما أنا عليه وأصحابي. وفي بعض الروايات: هي الجماعة.

رواه أبو داود والترمذي وابن ماجه والحاكم، وقال: صحيح على شرط مسلم.

หะดีษถูกต้องตามเงื่อนไขของมุสลิม

สิ่งที่เป็นสัจธรรมคือ สิ่งที่นบีมุฮัมมัด ﷺ  และบรรดาศ่อฮาบะฮ์ของท่านดำรงอยู่  ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายต้องการจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับความปลอดภัยในวันกิยามะฮ์  ก็จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามท่านนบีและบรรดาศ่อฮาบะฮ์  และจงระวังการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในศาสนา เพราะจะนำไปสู่การหลงผิด.


คำถามที่ 12

ใช่ อัลลอฮ์ ﷻ ทรงอยู่กับเราด้วยการรอบรู้และการตระหนักของพระองค์ และการปกป้องคุ้มครองของพระองค์  ส่วนซาต(องค์)ของพระองค์  พระองค์ทรงสูงสู่งอยู่เหนือบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย  พระองค์ทรงตระหนักยังทุกสิ่ง  แต่ทุกสิ่งหยั่งไม่ถึงพระองค์   พระองค์ตรัสว่า :

لَّا تُدْرِكُهُ ٱلْأَبْصَٰرُ وَهُوَ يُدْرِكُ ٱلْأَبْصَٰرَ ۖ وَهُوَ ٱللَّطِيفُ ٱلْخَبِيرُ

ซูเราะห์อัล อาม / อายะห์ที่ : ๑๐๓


คำถามที่ 13

ชาวอะฮ์ลุซซุนนะฮ์มีความเห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถเห็นอัลลอฮ์ได้ในโลกดุนยา  และบรรดามุมินผู้ศรัทธาจะเห็นอัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์และในสวรรค์  พระองค์ตรัสว่า :

وُجُوهٌ يَوْمَئِذٍ نَاضِرَةٌ * إِلَى رَبِّهَا نَاظِرَةٌ

ซูเราะห์อัล กิยามะฮ์ / อายะห์ที่ : ๒๒ – ๒๓

         ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธจะไม่เห็นอัลลอฮ์ ﷻในวันกิยามะฮ์  พระองค์ตรัสว่า

كَلاَّ إِنَّهُمْ عَنْ رَبِّهِمْ يَوْمَئِذٍ لَمَحْجُوبُونَ

ซูเราะห์อัล มุฏฏอฟฟิฟีน / อายะห์ที่ : ๑๕


คำถามที่ 14

พระองค์อัลลอฮ์ ﷻ ทรงมีพระนามที่ดีงามและมีคุณลักษณะที่สูงส่ง  พระองค์ตรัสว่า :

هُوَ ٱللَّهُ ٱلْخَٰلِقُ ٱلْبَارِئُ ٱلْمُصَوِّرُ ۖ لَهُ ٱلْأَسْمَآءُ ٱلْحُسْنَىٰ ۚ

อัล ฮัชร์ / ๒๔

               จากอบี ฮุรอยเราะฮ์รฎิฯ ว่า ท่านร่อซูลุลอฮ์ ﷺ กล่าวว่า :

إِنَّ لِلَّهِ تِسْعَةً وَتِسْعِينَ اسْمًا مِائَةً إِلا وَاحِدًا مَنْ أَحْصَاهَا دَخَلَ الْجَنَّةَ

บันทึกโดย อัล บุคอรีย์และมุสลิม

           นักวิชาการมีความเห็นว่า นอกจากพระนามของอัลลอฮ์ที่ปรากฏในหะดีษนี้ ยังมีรายงานอื่นๆ และในคัมภีร์อัล กุรอาน พระนามของอัลลอฮ์มีมาก ไม่จำกัดเพียง ๙๙ พระนามเท่านั้น

         การนับพระนามของอัลลอฮ์ ﷻ อยู่ในหลัก ๓ ประการ คือ :

  •      ก – การกล่าวออกมาเป็นคำพูดและจำนวนของมัน
  •      ข – มีความเข้าใจในความหมาย เป้าหมาย  และศรัทธาในพระนามนั้น  เช่นกล่าวว่า    الْحَكِيمُ (อัล หะกีม)  แปลว่า  ผู้ทรงปรีชาญาณ  หมายถึง การมอบทุกกิจการยังอัลลอฮ์  เพราะทุกสิ่งเป็นไปตามความปรีชาญาณของพระองค์
  •       ค – การวิงวอนขอดุอาอ์ด้วยพระนามของพระองค์ เช่นกล่าวว่า

 “ยา ซิตตีร อุสตุรนี    ياستير استرني  – โอ้ ผู้ปกปิด (ข้อบกพร่อง) ได้โปรดปกปิด (ข้อบกพร่องของ)ฉัน”         หรือกล่าวว่า  “ยา กะรีม อักริมนี  يا كريم أكرمني – โอ้ ผู้ทรงเกียรติ  ได้โปรดให้เกียรติแก่ฉัน”


   พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงได้รับการเคารพภักดีแสดงการนอบน้อม การรุกัวะอ์ การสุญูด และการปฏิบัติทุกอิบาดะฮ์ต่อพระองค์.


        ผู้ทรงเมตตาอย่างกว้างขวาง  ความเมตตาของพระองค์ ครอบคลุมทุกสิ่ง  พระนามนี้เป็นพระนามเฉพาะอัลลอฮ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้เรียกสิ่งอื่นนอกจากพระองค์.


       พระองค์เป็นผู้ทรงปรานี ผู้ทรงอภัยโทษให้แก่บรรดามุมินทั้งในโลกดุนยาและโลกอาคีเราะฮ์  พระองค์ทรงนำทางพวกเขาในการปฏิบัติอิบาดะฮ์ต่อพระองค์  พระองค์ทรงให้เกียรติพวกเขา   ในโลกอาคีเราะฮ์ โดยพำนักอยู่ในสวรรค์ของพระองค์.


       พระองค์ทรงลบล้างความผิดและทรงยกโทษ  และไม่ทรงลงโทษในความผิดทั้งๆ ที่ผู้เป็นบ่าวสมควรจะได้รับการลงโทษ


ผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงปกปิดความผิดของผู้กระทำ ไม่ทรงเปิดเผย  และไม่ทรงลงโทษเขา


  พระทรงอภัยโทษอย่างมากมายให้แก่บรรดาบ่าวของพระองค์  ผู้ทำความผิดและได้ขออภัยโทษ


ผู้ทรงเอ็นดูจากความเอ็นดูมากกว่าความมตตา ซึ่งครอบคลุมสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดในโลกดุนยา และผู้ถูกสร้างบางส่วนในโลกอาคีเราะฮ์ซึ่งได้แก่บรรดาผู้ศรัทธาผู้เป็นที่รักของพระองค์


  ผู้ทรงอ่อนโยน พระองค์ไม่ทรงรีบด่วนในการลงโทษบ่าวของพระองค์ซึ่งอยู่ในอำนาจของพระองค์ที่จะลงโทษพวกเขาได้ แต่ทว่า พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อแก่พวกเขา และจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา เมื่อพวกเขาขออภัยโทษ


      ผู้ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดาบ่าวของพระองค์ และทรงรับการกลับตัวของพวกเขา


       ผู้ทรงปกปิดให้แก่บ่าว โดยไม่ประจานระหว่างบรรดามนุษย์  ทรงปกปิดส่วนพึงละอายของพวกเขา


      ผู้ทรงมั่งคั่ง ไม่ทรงพึ่งพิงบ่าวของพระองค์ เนื่องจากความเพรียบพร้อมของพระองค์และในคุณลักษณะของพระองค์ ทุกสิ่งต้องพึ่งพิงพระองค์ เนื่องด้วยความกรุณาและการช่วยเหลือของ   พระองค์


       ผู้ทรงเกียรติ  ทรงประทานความดีอย่างมากมายตามที่พระองค์ทรงประสงค์ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยวิธีที่พระองค์ทรงประสงค์ในสิ่งขอและสิ่งที่ไม่ขอ ทรงอภัยในความผิด และทรงปกปิดข้อบกพร่องของปวงบ่าว


 ผู้ทรงเกริกไกร ทรงเกียรติสูงสุด ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ความดีทั้งหมดมาจากพระองค์  ทรงตอบแทนแก่บรรดาผู้ศรัทธาด้วยความโปรดปรานของพระองค์ ทรงประวิงการตอบแทนแก่ผู้ผินหลังให้พระองค์ และทรงสอบสวนด้วยความยุติธรรมของพระองค์


 ผู้ทรงประทานอย่างมากมาย โดยไม่ต้องการสิ่งทดแทน ทรงให้โดยไม่ต้องทรงกำหนด และทรงกรุณาโดยไม่ต้องขอ


 ผู้ทรงประทานอย่างมากมาย โดยไม่ต้องการสิ่งทดแทน ทรงให้โดยไม่ต้องทรงกำหนด และทรงกรุณาโดยไม่ต้องขอ


 ผู้ทรงรักต่อบรรดาผู้จงรักภักดีพระองค์ ทรงปรารถนาการอภัยโทษจากพระองค์ และความกรุณาแก่พวกเขา  พระองค์ทรงพอพระทัยพวกเขา ทรงรับการงานของพวกเขา  ทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้แทนในแผ่นดิน


   ผู้ทรงให้แก่บรรดาบ่าวที่พระองค์ทรงประสงค์จากขุมทรัพย์ของพระองค์  บรรดาผู้จงรักภักดีต่อพระองค์จะได้รับส่วนการ ประทานอันมากมาย พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานทุกสิ่งแก่ปวงบ่าว


   ผู้ทรงแผ่ไพบูลย์ ไม่มีผู้ใดสามารถนับจำนวนการสรรเสริญพระองค์ได้  ความยิ่งใหญ่ อำนาจ การอภัย ความเมตตา ความระเสริฐ  และความดีงามของพระองค์แผ่กว้าง


ผู้ทรงความดี อันเป็นความดีที่สมบูรณ์ในตัวพระองค์เอง ในพระนามของพระองค์ ในคุณลักษณะของพระองค์ ในการกระทำของพระองค์  พระองค์ทรงความดีต่อทุกสิ่งในการสร้างสรรค์ของพระองค์


 ผู้ทรงให้เครื่องยังชีพ ทรงประทานริซกี(เครื่องยังชีพ)แก่สรรพสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงประกันริซกีให้แก่ทุกคน แม้จะเพียง ขณะหนึ่งก็ตาม


   ผู้ทรงประทานริซกีอย่างมากมาย แก่ปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่พวกเขาก่อนที่พวกเขาจะขอ พระองค์ประทานแก่พวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะฝ่าฝืน   คำสั่งของพระองค์


     ผู้ทรงสุภาพ ผู้ทรงรู้ถึงรายละเอียดของทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดปิดบังความรู้ของพระองค์ ทรงนำความดีและประโยชน์ยังปวงบ่าว  โดยไม่เปิดเผยและไม่สามารถนับคำนวณได้


ผู้รู้ยิ่ง ทรงตระหนักในทุกสิ่ง ทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น


   ผู้ทรงเปิดกว้าง จากขุมทรัพย์ ความเมตตา และเครื่องยังชีพขององค์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์  ด้วยการกำหนดและความรู้  ของพระองค์


 ผู้ทรงรู้ยิ่ง ทั้งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  ไม่มีสิ่งใดปิดบังจากความรู้ของพระองค์


Message us