
:عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ: قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“اِغْتَنِمْ خَمْسًا قَبْلَ خَمْسٍ: شَبَابَكَ قَبْلَ هَرَمِكَ، وَصِحَّتَكَ قَبْلَ سَقَمِكَ، وَغِنَاكَ قَبْلَ فَقْرِكَ، وَفَرَاغَكَ قَبْلَ شُغْلِكَ، وَحَيَاتَكَ قَبْلَ مَوْتِكَ.”
(رواه الحاكم والبيهقي)
คำแปล
“ท่านอัลฮากิมได้ริวายะห์มาจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนฺอับบาสว่า : ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวสั่งสอนแก่ชายคนหนึ่งว่า :
“จงฉวยโอกาสแสวงหานิมิตร์ดี 5 ประการ ก่อนนิมิตร์ร้าย 5 ประการจะมาประสบแก่ท่านคือ ฉวยเอาความหนุ่มก่อนที่ความชราจะมาถึง ฉวยเอาความสุขสมบูรณ์ก่อนที่ความเจ็บไข้จะมาถึง ฉวยเอาความร่ำรวยก่อนที่ความยากจนจะมาถึง ฉวยเอาเวลาว่างก่อนที่ความยุ่งยากจะมาถึง และฉวยเอาความเป็นก่อนที่ความตายจะมาถึง”
คำอธิบาย
ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนจะต้องประสบกับความหนุ่มแน่น ความสมบูรณ์พูลสุขปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ความร่ำรวยในทรัพย์สมบัติ ความสบายอกสบายใจปราศจากสิ่งกังวลใดๆ และการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
นิมิตร์ดี ๕ ประการนี้ ถ้าเราใคร่ครวญให้ดีก็จะเห็นได้ว่า เป็นโอกาสอันดีสำหรับมุสลิมมุอฺมินที่จะรีบฉวยโอกาสค้นคว้าปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงามอันจะเป็นเสบียงติดตัวไป และเร่งมือเสริมสร้างการงาที่เป็นกุศลกรรมเพื่อที่จะได้รับการตอบแทนทั้งในโลกนี้(ดุนยา) และโลกหน้า(อาคิเราะฮฺ) อัลหะดิษบทนี้ ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แนะนำเราให้รีบฉวยโอกาสเมื่อเราประสบกับนิมิตร์ดี ๕ ประการดังกล่าว ก่อนที่นิมิตร์ร้ายจะมาถึงคือ ความชรา ความเจ็บป่วย ความยากจน ความยุ่งยากกังวลใจและความตาย
เพื่อให้เป็นที่ตระหนักกันดีถึงนิมิตร์ดีและนิมิตร์ร้ายทั้ง ๕ ประการ ขอให้เรามาพิจารณาดูกันให้ละเอียดเพื่อจักได้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของเราต่อไป
๑. ความว่า “จงฉวยเอาความหนุ่มก่อนที่ความชราจะมาถึง”
เมื่อท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ท่านต้องเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และร่อซูลของพระองค์ เราต้องปฏิบัติสิ่งที่มีเกียรติ ระมัดระวังทุกวิถีทางในอันที่จะไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติของเรา ครอบครัว วงศ์ตระกูล ประเทศชาติและศาสนาของเรา ด้วยการปลีกตัวให้ห่างไกลจากการงานที่ชั่วช้าลามก พร้อมทั้งพลีทั้งกำลังกาย กำลังปัญญาและกำลังทรัพย์ตามที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แก่เรา โดยปราศจากการลังเลใจแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพื่อให้การพลีกำลังต่างๆเหล่านั้นบังเกิดผลงานที่ดี จะได้เสบียงและเป็นเกียรติให้แก่เรา นอกจากนี้เราจักต้องรำลึกถึงคำกล่าวที่ว่า :
ความว่า “มนุษย์ที่ดีที่สุดนั้นคือ ผู้ที่อำนวยประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”
ดังนั้น เราจะต้องพยายามรักษาไว้ซึ่งประวัติแห่งความเป็นหนุ่มสาวให้สะอาดบริสุทธิ์ อย่าให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่ตนเอง สังคม และศาสนาที่เรายึดถือเป็นสรณะ อย่าทำลายล้างวงศ์ตระกูล ชื่อเสียงเกียรติยศของบิดามารดา อย่าให้โอกาสอันดีซึ่งอยู่ในกำมือของเราในขณะที่เรากำลังหนุ่มแน่นต้องสูญเสียไป โอกาสอันนี้จะสูญเสียไปก็ต่อเมื่อวัยชราได้มาถึงตัวเราแล้ว เราก็จะรำพึงรำพรรณถึงอดีตซึ่งไม่มีวันที่จะกลับคืนมาเยือนเราได้อีกเป็นแน่
๒. ความว่า “จงฉวยเอาความสุขสมบูรณ์ของท่านก่อนที่ความเจ็บไข้จะมาถึง”
สุขภาพเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหาอะไรมาเปรียบเท่าไม่ได้ ความสุขสมบูรณ์ของร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่เราจะหาซื้อไม่ได้ด้วยทรัพย์สินเงินทอง บุคคลที่มีเงินนับแสนนับล้าน ถ้าเขามีโรคประจำตัวอยู่เสมอก็จะหาความสุขไม่ได้ และเงินทองที่มีอยู่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเขาได้ ดังนั้นเราต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ทรงพระราชทานนิอฺมะห์อันใหญ่หลวงให้เรามีสุขภาพสมบูรณ์ เราต้องพยายามรักษานิอฺมะห์อันนี้ไว้ด้วยการระมัดระวังมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเผชิญกับเราขึ้นได้ ความไม่มีโรคนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ
ฉะนั้นก่อนที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนเราเข้าสักวันหนึ่งซึ่งเป็นของแน่นอนเหลือเกิน เราจะต้องปฏิบัติแต่คุณงามความดี ละเว้นสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม เพราะความอุดมสมบูรณ์นั้นเป็นของชั่วคราวไม่มั่นคงถาวร วันนี้เราแข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ เหตุนี้โอกาสแห่งความสุขสมบูรณ์จึงเป็นโอกาสอันประเสริฐ ควรที่จะรีบเร่งฉวยเอาไว้เสียก่อน
๓. ความว่า “จงฉวยเอาความร่ำรวยของท่านก่อนที่ความยากจนจะมาถึง”
เมื่อพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประทานนิอฺมะห์ให้แก่เราโดยเป็นคนมั่งมี มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เราจะต้องแสดงออกซึ่งนิอฺมะห์นั้นด้วยการบริจาคทรัพย์ทั้งทางลับและทางแจ้งให้แก่ผู้ที่จำเป็นจะได้รับเงินบริจาคของเรานั่นคือ บิดามารดา บุตร ภรรยาของท่าน คนยากจนอนาถา ลูกกำพร้าคนพิการ การกุศลสาธารณะ นอกจากนี้เราต้องทำนุบำรุงศาสนาของเราด้วยการบริจาคทรัพย์สมบัติไปในการเผยแพร่ศาสนา เช่นการสร้างสถาบันการศึกษาคือ โรงเรียน หาครูที่มีวิชาความรู้เหมาะสมกับหน้าที่มาทำการอบรมสั่งสอนกุลบุตรธิดาของเรา
ดังนั้นผู้ที่มั่งมีอันเป็นนิอฺมะห์อันยิ่งใหญ่ จงรีบฉวยโอกาสที่กำลังอยู่ในเงื้อมมือของท่านด้วยการรีบเร่งบริจาคเสียแต่บัดนี้ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เพราะกี่มากน้อยแล้วที่ทรัพย์สมบัติของคนมั่งมีต้องถูกบะลาอฺ การทดลองอย่างปัจจุบันทันด่วนสูญสิ้นไปโดยมิได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเลยแม้กระทั่งตัวของเขาเอง ในที่สุดก็ต้องเสียอกเสียใจแต่สายเสียแล้ว เพราะการเสียใจของเขาจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้เสียแล้ว ดังคำตรัสที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอานจากซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะฮฺที่ 9-11 ว่า :
يَـٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوا لَا تُلْهِكُمْ أَمْوَٰلُكُمْ وَلَآ أَوْلَـٰدُكُمْ عَن ذِكْرِ ٱللَّهِ ۚ وَمَن يَفْعَلْ ذَٰلِكَ فَأُولَـٰٓئِكَ هُمُ ٱلْخَـٰسِرُونَ ٩
وَأَنفِقُوا مِن مَّا رَزَقْنَـٰكُم مِّن قَبْلِ أَن يَأْتِىَ أَحَدَكُمُ ٱلْمَوْتُ فَيَقُولَ رَبِّ لَوْلَآ أَخَّرْتَنِىٓ إِلَىٰٓ أَجَلٍۢ قَرِيبٍۢ فَأَصَّدَّقَ وَأَكُن مِّنَ ٱلصَّـٰلِحِينَ ١٠
وَلَن يُؤَخِّرَ ٱللَّهُ نَفْسًا إِذَا جَآءَ أَجَلُهَا ۚ وَٱللَّهُ خَبِيرٌۢ بِمَا تَعْمَلُونَ ١١
ความว่า “โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พวกท่านอย่าให้ทรัพย์สมบัติและลูกหลานของพวกท่านหลงลืมจากการรำลึกนึกถึงอัลลอฮฺ ถ้าผู้ใดปฏิบัติเช่นนั้น พวกเขาก็จะตกอยู่ในจำพวกที่ขาดทุน (9) และพวกท่านจงบริจาคทรัพย์จากจำนวนที่เราได้ประทานให้แก่พวกท่านก่อนที่ความตายจะมาถึงคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน ครั้นแล้วเขาก็จะกล่าว(ขึนด้วยความเสียใจ) ว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ หากพระองค์ยึดเวลาให้แก่ข้าพระองค์อีกสักเล็กน้อยเพื่อข้าพระองค์จะบริจาค และอยู่ในจำพวกที่ประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย! (10)และอัลลอฮฺจะไม่ผ่อนผันยืดเวลาให้แก่ชีวิตใดในเมื่อกำหนดเวลามาถึงเขาแล้ว และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกท่านปฏิบัติทุกสิ่งอย่าง (11)”
นี่แหละ ท่านทั้งหลาย! การตีโพยตีพายหรือโอดครวญหลังจากเวลาได้ล่วงเลยไปแล้วก็ดี หรือการขอร้องประวิงเวลาต่อไปก็ดี เหล่านี้ทั้งหมดหาได้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดแก่เราไม่ ถ้าหากเราเป็นผู้ที่มีศรัทธาอีหม่านอย่างแท้จริง และรำลึกอยู่เสมอว่า ความตายจะมาเยือนเราในเวลาใดเวลาหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ความเสียอกเสียใจก็จะไม่บังเกิดขึ้นเป็นแน่ อีกประการหนึ่งการบริจาคของเราก็ควรจะเป็นไปในสภาพที่เรามีความพอใจมีความรักและหวงแหนในสิ่งที่เราบริจาค ในกรณีเช่นนี้แหละคือ การแสวงหาคุณงามความดีและความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งพระองค์ได้กล่าวไว้ในซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะฮฺที่๙๒ ว่า :
لَن تَنَالُوا ٱلْبِرَّ حَتَّىٰ تُنفِقُوا مِمَّا تُحِبُّونَ ۚ وَمَا تُنفِقُوا مِن شَىْءٍۢ فَإِنَّ ٱللَّهَ بِهِۦ عَلِيمٌۭ ٩٢
ความว่า “พวกท่านจะไม่ได้มาซึ่งคุณงามความดี จนกว่าพวกท่านจะบริจาคสิ่งซึ่งพวกท่านมีความรักความพอใจและสิ่งซึ่งพวกท่านบริจาคไป แน่แท้อัลลอฮฺทรงรอบรู้ดี”
๔. ความว่า “จงฉวยเอาเวลาว่างก่อนที่ความยุ่งยากจะมาถึง”
เมื่อเราอยู่ในสภาพที่ไม่มีความห่วงใยในสิ่งใดๆ หรือเป็นผู้ที่ไม่มีงานจะทำให้เป็นชิ้นเป็นอัน ขอให้เรารีบเร่งใช้กำลังความสามารถอย่างเต็มที่ไปในการปฏิบัติการงานที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเรา ครอบครัวของเรา สังคมของเราและประเทศของเรา ทั้งนี้ก่อนที่เราจะประสบกับความยุ่งยากกังวลใจ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปในการรื่นเริงหรรษาไร้ประโยชน์ ในเมื่อโอกาสดีได้หลุดลอยไปแล้ว โอกาสนั้นไม่มีทางที่จะกลับมาหาเราอีกเลย ขอให้เรามาพิจารณาดูคำสั่งสอนของนักกวีอาหรับคนหนึ่งซึ่งกล่าวไว้เป็นบทปลุกใจว่า :
ความว่า “ความหนุ่มแน่นก็ดี ความไม่มีกังวลในสิ่งใดก็ดี และความมั่งคั่งในทรัพย์สมบัติก็ดี เหล่านี้ทั้งหมด เป็นสิ่งเสียหายแก่เจ้าหนุ่มมามากต่อมากแล้ว”
๕. ความว่า “แล้วจงฉวยเอาความเป็นก่อนที่ความตายจะมาถึง”
ทำไมเล่า ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจึงไม่ขวนขวายหาสิ่งที่จะเป็นเสบียงแก่เราในโลกหน้า ทำไมเราจึงไม่ปฏิบัติงานที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวเราเอง เราจะไปจ้างวานหรือไหว้วานให้ผู้อื่นมาทำแทนเรา ในเมื่อเราตายไปแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่หาประโยชน์อันใดมิได้เลย เพราะคนที่ตายไปแล้วนั้น การงานทุกอย่างของเขาย่อมขาดตอนลงทันที ดังหะดิษที่เราทั้งหลายทราบกันดีแล้วคือ :
ความว่า “เมื่อมนุษย์ได้ตายไปแล้ว การงานของเขาก็ขาดตอนลงทันที นอกจากงาน ๓ อย่างคือ การบริจาคทานที่เป็นสาธารณะประโยชน์ วิชาความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และบุตรที่ศอลิฮฺขอดุอาอฺให้แก่เขา”
ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลาย จงใช้ชีวิตของเราไปในสิ่งที่มีประโยชน์แก่ตัวเราเอง ละเว้นในสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่ตัวเรา มิฉะนั้นแล้ว เราจะได้รับแต่ความเสียอกเสียใจอย่างที่จะหาสิ่งตอบแทนใดๆมาทดแทนได้!”
มัสยิดอันซอริซซุนนะห์
22 มกราคม 2536 (29 รอญับ 1413)