
ท่านพี่น้องมุสลิมที่เคารพรักทั้งหลาย
มนุษย์ทุกคนอยากจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างสุขสบายราบรื่น ไม่อยากจะให้มีความขุ่นหมองใด ๆ เข้ามารบกวนแม้แต่น้อย แต่ชีวิตของมนุษย์นั้นมีหลายแง่มุม เพราะการใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละคนนั้นจะเริ่มจากตัวของเขาเอง จะต้องอยู่กับครอบครัว จะต้องมีเพื่อนบ้าน จะต้องคบค้าสมาคมกับผู้อื่นแต่มีสิ่งสำคัญที่เป็นจุดยอดของความสำคัญก็คือ “ครอบครัวของเรา”
ความจริงการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัวเราก็ดี การแสวงหาทรัพย์สินและรักษามันไว้นั้นบัญญัติศาสนาถือเป็นหน้าที่สำคัญที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติ แต่ก็มิได้หมายความว่าให้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้แก่การดูแลครอบครัวและทรัพย์สิน หากแต่บัญญัติศาสนาใช้ให้เราแบ่งเวลาไว้ศึกษาด้วยเพราะความไม่รู้เรื่องของศาสนาย่อมทำให้การดูแลครอบครัวและทรัพย์สินไม่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องดังเป็นที่ประจักษ์กันดีอยู่แล้วในสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้
อัลกุรอานได้แจ้งให้เราได้ทราบถึงคุณลักษณะของผู้ศรัทธาอีมานว่า เมื่อเขากระทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่ไม่ชอบธรรมหรือกระทำความผิดใด ๆ ก็ตามคือได้กระทำปฏิบัติสิ่งใดซึ่งทำให้อัลลอฮฺทรงกริ้วแล้ว เขาก็รำลึกถึงพระองค์ ลำรึกในสัญญาของพระองค์และคำเตือนของพระองค์ที่จะลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนบัญญัติของพระองค์ แล้วเขาขออภัยโทษต่อพระองค์ต่อพระองค์ทันทีในความผิดที่เขาได้กระทำเอาไว้โดยไม่ดื้อรั้นที่จะกระทำความชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก
อนึ่งเมื่อเราเห็นคนหนึ่งคนใดกระทำการฝ่าฝืนหรือความผิดอยู่เป็นประจำ โดยที่เขาพึงพอใจในการกระทำความผิดอยู่เป็นประจำ โดยที่เขาพึงพอใจในการกระทำของเขาว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมสมแล้วและภูมิใจว่าตนกระทำไปด้วยความรับผิดชอบ โดยไม่นำพาต่อการทักท้วงและการตักเตือนของผู้อื่นแล้ว แน่นอนการกระทำของเขาดังกล่าวนั้นย่อมเป็นสิ่งยืนยันและชี้ให้เห็นว่าเขาไม่มีความศรัทธาและไม่มีความเชื่อมั่นต่อัลลอฮด้วยความจริงใจ เพราะลักษณะของผู้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ “อัลมุตตากีน” นั้น เขาจะดำเนินชีวิติอยู่ในกรอบของศาสนา มีการละหมาดที่ถูกต้อง บริจาคซะกาตโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือการขอบคุณจากผู้ใด บุคคลประเภทนี้เมื่อเขาได้กระทำการผิดพลาดใด ๆ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เขาจะสำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัวโดบฉับพลันดังที่อัลลอฮตะอาตาได้กล่าวชมเชย และจะตอบแทนความดีให้แก่เขาในอัลกุรอานอายะฮฺที่ว่า :
وَٱلَّذِينَ إِذَا فَعَلُواْ فَٰحِشَةً أَوۡ ظَلَمُوٓاْ أَنفُسَهُمۡ ذَكَرُواْ ٱللَّهَ فَٱسۡتَغۡفَرُواْ لِذُنُوبِهِمۡ وَمَن يَغۡفِرُ ٱلذُّنُوبَ إِلَّا ٱللَّهُ وَلَمۡ يُصِرُّواْ عَلَىٰ مَا فَعَلُواْ وَهُمۡ يَعۡلَمُونَ ١٣٥ أُوْلَٰٓئِكَ جَزَآؤُهُم مَّغۡفِرَةٞ مِّن رَّبِّهِمۡ وَجَنَّٰتٞ تَجۡرِي مِن تَحۡتِهَا ٱلۡأَنۡهَٰرُ خَٰلِدِينَ فِيهَاۚ وَنِعۡمَ أَجۡرُ ٱلۡعَٰمِلِينَ ١٣٦
ความว่า “และบรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้า หรืออธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ และขออภัยโทษในความผิดของพวกเขา แล้วใครเล่าจะอภัยโทษในความผิดต่าง ๆ นอกจากอัลลอฮ และพวกเขาไม่ดื้อรั้นกระทำในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำมาแล้วทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็รู้อยู่แล้วแก่ตัวเองชนเหล่านั้นแหละ การตอบแทนของพวกเขาก็คือ การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขา และสวนสวรรค์หลากหลาย มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านภายใต้มัน โดยพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และรางวัลของบรรดาผู้กระทำเช่นนั้นช่างดีเลิศแท้”
(อาละ อิมรอน 3 : 135-136)
อีกลักษณะหนึ่งของมุอมินผู้ศรัทธาก็คือ การรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ผู้อื่น เพราะเขาตระหนักดีว่าการผิดสัญญานั้นเป็นลักษณะของพวกมุนาฟิกีน และบุคคลจำพวกนี้จะได้รับโทษหนักที่สุด คือ อยู่ในนรกชั้นต่ำสุด ดังที่อัลลอฮตะอาลาทรงแจ้งให้ทราบแล้วในอายะฮฺที่ว่า :
إِنَّ ٱلۡمُنَٰفِقِينَ فِي ٱلدَّرۡكِ ٱلۡأَسۡفَلِ مِنَ ٱلنَّارِ وَلَن تَجِدَ لَهُمۡ نَصِيرًا ١٤٥
ความว่า “แท้จจริงพวกมุนาฟิกีนนั้นอยู่ในนรกชั้นต่ำสุด และเจ้าจะไม่เห็นผู้ช่วยเหลือใด ๆ แก่พวกเขา”
(อัน-นิซาอฺ 4:145)
การที่อัลลอฮตะอาลาทรงกำหนดโทษอย่าหนักแก่ผู้ไม่รักษาสัญญานี้ก็เพราะว่า การทำสัญญาหรือการทำข้อตกลงนั้น เป็นสิ่งที่มีบทบาทมากที่สุดในสังคมมนุษย์ การทำสัญญาหรือข้อตกลงระหว่ากันนั้นเป็นการประกันความสงบสุขและจะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยสันติ ซึ่งการรักษาคำมั่นสัญญาหรือข้อตกลงนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺที่ให้ศาสนามาเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติและสงบสุข แต่ถ้าสัญญาหรือข้อตกลงนั้นถูกละเลยหรือไม่นำพากันแล้ว ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความยุ่งยากและความปั่นป่วนของมนุษย์เอง ด้วยเหตุนี้การผิดสัญญาหรือข้อตกลงจึงเป็นลักษณะของพวกมุนาฟิก ซึ่งโทษของมันก็เป็นไปที่ได้รับทราบกันแล้วทั้งในอัลกุรานและวจนะของท่านนบี
ท่านพี่น้องมุสลิมที่เคารพรักทั้งหลาย
อัลลอฮฺ ได้กล่าวในอายะฮฺที่ว่า :
يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَلۡتَنظُرۡ نَفۡسٞ مَّا قَدَّمَتۡ لِغَدٖۖ وَٱتَّقُواْ ٱللَّهَۚ إِنَّ ٱللَّهَ خَبِيرُۢ بِمَا تَعۡمَلُونَ ١٨
وَلَا تَكُونُواْ كَٱلَّذِينَ نَسُواْ ٱللَّهَ فَأَنسَىٰهُمۡ أَنفُسَهُمۡۚ أُوْلَٰٓئِكَ هُمُ ٱلۡفَٰسِقُونَ ١٩
ความว่า”โอ้บรรดาผู้ศรัทธาแล้วเอ๋ย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮเถิด และจงให้ทุกชีวิตพิจารณาถึงสิ่งที่เขาได้เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่ง พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงตระหนักดีถึงสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ และพวกเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ลืมอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ก็จะให้พวกเขาลืมตัวของพวกเขาเอง ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือ ผู้ฝ่าฝืน”
(อัล-ฮัชรฺ 59 : 18-19)
เรื่องของการลืมอัลลอฮฺ และการลืมตัวเองนั้น ผู้ที่มีบทบาทสำคัญและเป็นเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องนี้ก็คือ ชัยฏอนมารร้าย ศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์นั้นเอง หน้าที่ประจำของมันที่มีต่อมนุษย์เป็นประจำทุกวันเวลาก็คือ เสี้ยมสอน การขัดขวางมิให้กระทำความดี ล่อลวง การกระซิบกระซาบ การชี้แนะไปสู่การกระทำความชั่ว แต่ถ้ามนุษย์ที่มีความนึกคิดและไม่ลืมอัลลออฺ
แล้ว เมื่อเขาประสบกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เขาจะไม่หลงกล เขาจะสลัดความคิดผิด ๆ หรือการล่อลวงทีเจ้าชัยฏอนมากระซิบกระซาบนั้นออกไปโดยสิ้นเชิงและจะไม่ใยดีต่อมัน เพราะตระหนักดีว่ามันนั้นคือศัตรูของเขาที่พวกมันเรียกร้องไปสู่ความชั่วความเลวทราม พวกมันมีแต่จะประสงค์ร้ายที่จะเรียกร้องเชิญชวนไปอยู่ในแนวร่วมของมัน ดังนั้นไม่ว่านักเชิญชวนชั้นเลว ๆ หรือชัยฏอนมารร้ายหรืออารมณ์ร้ายที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี เหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศัตรูกับชีวิตมุสลิมทั้งสิ้น เป็นแผนร้ายของชัยฏอนและเป็นสิ่งชี้นำให้มนุษย์คอยแต่ทำความชั่วอยู่ร่ำไป ด้วยเหตุนี้อัลลอฮตะอาลาจึงกำชับไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ในอายะฮฺที่ว่า :
إِنَّ ٱلشَّيْطَـٰنَ لَكُمْ عَدُوٌّۭ فَٱتَّخِذُوهُ عَدُوًّا ۚ إِنَّمَا يَدْعُوا۟ حِزْبَهُۥ لِيَكُونُوا۟ مِنْ أَصْحَـٰبِ ٱلسَّعِيرِ ٦
ความว่า “แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูของพวกเจ้าดังนั้นพวกเจ้าจงเอามันเป็นศัตรู แท้จริงมันเรียกร้องพวกของมัน เพื่อให้พวกเขาเป็นชาวนรกซะอิ้ร”
(ซูเราะห์ฟาฏิร 35 : 6)
และอีกอายะฮฺหนึ่งที่ว่า :
ٱلشَّيۡطَٰنُ يَعِدُكُمُ ٱلۡفَقۡرَ وَيَأۡمُرُكُم بِٱلۡفَحۡشَآءِۖ وَٱللَّهُ يَعِدُكُم مَّغۡفِرَةٗ مِّنۡهُ وَفَضۡلٗاۗ وَٱللَّهُ وَٰسِعٌ عَلِيمٞ ٢٦٨
ความว่า “ชัยฏอนนั้น มันจะขู่พวกเจ้าให้กลัวความยากจน และจะใช้ให้พวกเจ้ากระทำความชั่วและอัลลอฮฺ
นั้นทรงสัญญาแก่พวกเจ้าไว้ซึ่งการอภัยโทษ และความกรุณาจากพระองค์ และอัลลอฮฺ
นั้นเป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้”
(อัล-บะเกาะเราะฮ์ 2 : 268)
ดังนั้นมนุษย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความผูกพันอยู่กับอัลลอฮฺ เสมอ คือจะต้องรำลึกนึกถึงพระองค์อยู่เป็นประจำทุกอิริยาบท ซึ่งเราก็ได้ทราบกันดีแล้วถึงการรำลึกถึงพระองค์ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งจะเข้านอน แต่ถ้าลืมพระองค์เล่า เจ้าชัยฏอนก็จะถือโอกาสเข้ามากระซิบกระซาบกับเขา และมันจะใช้ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เขาไปอยู่แนวร่วมของมันเต่ถ้าคราใดที่เขารำลึกถึงอัลลออยู่เสมอ กล้วว่าพระองค์ทรงรู้ทรงเห็นการกระทำของเขาแล้วเขาก็ระงับการกระทำที่เห็นว่าไม่ถูกต้องไม่ควรและไม่ดีงาม ในกรณีเช่นนี้ชัยฏอนก็หมดโอกาส มันจะละเหี่ยใจและกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจว่า “เขาผู้นี้ได้มีชัยชนะเหนือมันแล้ว” กล่าวสำหรับผู้ที่มีการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
อยู่เสมอและมีความยำเกรงต่อพระองค์ เขาจะรำลึกถึงดำรัสของอัลลอฮ
ที่ได้ตรัสไว้ในอายะฮฺที่ว่า :
إِنَّ ٱلَّذِينَ ٱتَّقَوۡاْ إِذَا مَسَّهُمۡ طَٰٓئِفٞ مِّنَ ٱلشَّيۡطَٰنِ تَذَكَّرُواْ فَإِذَا هُم مُّبۡصِرُونَ ٢٠١ وَإِخۡوَٰنُهُمۡ يَمُدُّونَهُمۡ فِي ٱلۡغَيِّ ثُمَّ لَا يُقۡصِرُونَ ٢٠٢
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น เมื่อกลุ่มชัยฏอนประสบพวกเขา พวกเขาก็รำลึกขึ้นมาได้แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็น(หมายถึงมองเห็นการยั่วยุของชันฏอน และการหลีกเลี่ยงให้รอดพ้นไปได้) และพี่น้องของพวกมันก็จะช่วยเหลือพวกมันในการหลงผิด แล้วพวกเขาก็จะไม่ลดละ”
(อัล-อะอ์รอฟ บทที่ 7: 201-202)
มุอฺมินผู้มีสติปัญญานั้น เขาตระหนักดีว่าชัยฏอนไม่เคยลืมเขาเลย มันคอยที่จะชักจูงให้กระทำความชั่วอยู่ร่ำไป เพื่อมันจะได้ปิดกั้นมิให้เขาได้เข้าถึงการฏออัต เชื่อฟังและปฏิบัติตามอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ มันชักชวนให้เขาหมกมุ่นอยู่ในความผิดและกระทำบาป หากเขาเชื่อฟังยอมตกเป็นทาสของมันแล้วเขาจะถูกประทับตราลงบทหัวใจของเขา แล้วเขาก็จะเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้หลงลืม
كَلَّاۖ بَلۡۜ رَانَ عَلَىٰ قُلُوبِهِم مَّا كَانُواْ يَكۡسِبُونَ ١٤
ความว่า “หาใช่เช่นนั้นไม่ แต่สิ่งที่พวกเขาเคยกระทำไว้ (คือความผิดบาปต่าง ๆ ) ได้ปกคลุมหัวใจของพวกเขาเสียแล้ว”
(อัล-มุฏ็อฟฟิฟีน 83 :14)
มุอฺมินผู้มีปัญญาเขาจะถือว่าชัยฏอนเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เขาจะไม่เปิดโอกาสให้มันได้เข้ามาเบียดแทรกอยู่ในตัวของเขาได้ เขาจะคิดอยู่เสมอว่าอัลลอฮฺ เท่านั้นผู้ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเห็นเขาอยู่ตลอดเวลาเขาจึงมีความละลายต่อพระองค์ เขาจะไม่กระทำสิ่งใดโดยลำพัง เขาจะต้องกระทำโดยเปิดเผยในเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะไม่ดื้อรั้นกระทำในสิ่งที่เขารู้ว่าเมื่อกระทำสิ่งนั้นลงไปจะเกิดความเดือดร้อน เพราะสิ่งนั้น ๆ เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะเขารำลึกอยู่เสมอในคำตรัสของอัลลอฮ์
ในอายะฮฺที่ว่า :
وَهُوَ مَعَكُمۡ أَيۡنَ مَا كُنتُمۡۚ وَٱللَّهُ بِمَا تَعۡمَلُونَ بَصِيرٞ ٤
ความว่า “และพระองค์ทรงอยู่พร้อมกับพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม…”
(อัล-ฮะดีดบทที่ 57 : 4)
และชัยฏอนได้กล่าวว่า เมื่อการงานได้ถูกตัดสินแล้วว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงสัญญาพวกท่านซึ่งเป็นสัญญาแห่งความจริงและฉันได้สัญญาพวกท่านแล้วฉันได้บิดพริ้วพวกท่าน ฉันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกท่าน นอกจากฉันได้เรียกร้องพวกท่าน แล้วพวกท่านก็ได้ตอบสนองฉัน ดังนั้นพวกท่านอย่าได้ประณามฉัน แต่ทว่าพวกท่านจงประณามตัวพวกท่านเอง ฉันไม่อาจร้องทุกข์แทนพวกท่านได้ และพวกท่านก็ไม่อาจร้องทุกข์แทนฉัน(จากการลงโทษของอัลลอฮ)ได้ แท้จริง ฉันได้ปฏิเสธต่อสิ่งที่พวกท่านตั้งให้ฉันเป็นภาคี(กับอัลลอฮฺ)แต่ก่อนนี้ แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นสำหรับพวกเขาคือ การลงโทษอย่างเจ็บปวด”
มัสยิดอันซอริซซุนนะห์
3 กันยายน 2536 (16 รอบีอุ้ลเอาวั้ล 1414)